DOC เอกสารต่างๆ

ว่าจะอัพรายละเอียดต่างๆแต่เว้นช่วงเวลานานไปจนลืมไปละว่าจะเริ่มอัพอะไร _”_
บางคนก็ได้คำตอบจากการถามหลังไมค์ไปหมดแล้วรวมทั้งภาพต่างๆซึ่งก็เลยไม่รู้จะอัพอะไรก่อนดี

งั้นวันนี้เอาเป็นเอกสารที่ใช้ในการเดินทางต่างๆแล้วกันเนอะ
และก็ประสบการณ์ความลำบากต่างๆในการแสดงตน

ในการเดินทางแต่ละครั้งแน่นอนว่าทุกประเทศก็มีการยอมรับเพศที่ 3 ต่างกัน
ในสมัยก่อนแค่สาวประเภท2 ที่ศัลยกรรมแปลงเพศแล้วเดินทางไปประเทศต่างๆก็ยังเป็นอุปสรรค
เพราะใน Passport ยังคงเป็นนาย แต่สภาพที่เดินเข้าด่านตรวจคนเข้าเมืองนั้นกลับเป็นผู้หญิง
แน่นอนครับว่าคนบนโลกไม่ใช่ทุกคนที่รับรู้ความสามารถทางการแพทย์อย่างลึก
และบางท่านอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเห้ยเออมันทำอะไรยังไงได้ถึงเพียงนี้แล้ว
เช่นเดียวกันกับ FTM หรือ ชายข้ามเพศ ยิ่งเป็นเรื่องใหม่ในประเทศไทย (ทั้งที่มีมานานแล้ว)
ในบางประเทศก็ยังไม่คิดว่าผู้หญิงสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ชายได้มากแค่ไหน

ดังนั้นเวลาจะเดินเข้าแต่ละประเทศต่างๆผมแนะนำให้เตรียมความพร้อม
ดีกว่าไปยืนเถียงกับเจ้าหน้าที่ครับ (บางประเทศเจ้าหน้าที่ก็น่ารักซะให้เกรียติเป็นอย่างดี
แต่บางประเทศก็ละลาบละล้วงมากๆครับ)

น่าจะประมาณสองปีที่แล้วผมเดินทางเข้าประเทศเกาหลีโดยที่ไม่มีปัณหาอะไร
(แต่เตรียมเอกสารไปหมดเลยนะ) เขาแค่มองหน้าทำคิ้วขมวดและมองที่พาสปอร์ต
ทำแบบนี้อยู่สามสี่ครั้งและก็ยิ้มพร้อมกับก้มหัวแสดงความยินดีเป็นการตอบรับ
ผ่านมาได้ฉลุยไม่มีปันหาครับผม

ปีถัดมาผมเดินทางเข้าประเทศสิงคโปร
อ้อลืมบอกอีกข้อ ขึ้นชื่อว่าใช้พาสปอร์ตไทยจะยิ่งโดนจับตาเป็นพิเศษนะครับ
เพราะเครดิตสัญชาติไทยไม่ค่อยงามนัก ไปสร้างวีรกรรมไว้หลายอย่างในการหลบหนีเข้าเมืองครับ
ซึ่งผมก็เข้าใจว่าพวกเขาจะต้องเข้มงวดกับการตรวจสอบว่าพวกเราไม่ใช่พวกสวมรอยพาสปอร์ตคนอื่นเข้ามา
ขณะที่ผมยื่นพาสปอร์ตไปที่ด่านตรวจยังไม่ทันที่เจ้าหน้าที่จะอ่านเอกสารที่ผมยื่นให้หลังพาสปอร์ตเลยครับ
ก็กดปุ่มเรียกเจ้าหน้าที่ฝ่ายตรวจคนเข้าเมืองจากห้องตรวจสอบออกมา
ผมก็ต้องเดินตามเข้าไปในห้องตรวจนั้น (แน่นอนว่าผุ้โดยสารท่านอื่นต้องมองตาเขม็ง)
ประมาณว่าเราลักลอบเอาอะไรเข้ามาผิดกฎหมายประมาณนั้น 555
อันดับแรกผมยื่นเอกสารทั้งหมดที่ผมมีให้เลยครับแล้วถึงนั่งคุยกัน
เอกสารจากรพ.ของจิตแพทย์สองท่าน (2ใบ)
เอกสารรับรองการผ่าตัดจากแพทย์ผู้ที่ผ่าตัดให้เราเอง 
และเอกสารที่ทำงานหรือเอกสารของมหาลัยครับ
เพื่อยืนยันว่าเรามีเหตุให้กลับมาประเทศแน่นอนไม่ใช่จะหนีเข้าประเทศเพื่อไปทำงานหรืออะไร

หลังเจ้าหน้าที่อ่านเอกสารอยู่หลายครั้ง
ก็มานั่งคุยกับผม คุยแบบเป็นมิตรมากครับ
เขาถามว่าทำงานอะไรจบจากที่ไหน ผมมองยังไงคุณก็คือผู้ชาย
ค่ากระบวนการพวกนี้คุณเสียค่าใช้จ่ายเท่าไร
(เค้าคุยแบบเป็นมิตรนะครับเหมือนพยายามให้เรา relax ไม่เครียดหรือเกร็ง)
ผมก็ตอบไปขำไปเล่าไปด้วยความสนุก
ขนเค้าก็พูดขึ้นมาว่าถ้าเมืองไทยให้เกรียติประชาชนด้วยการเปลี่ยนคำนำหน้าให้
จะทำให้พวกคุณใช้ชีวิตแบบปกติโดยไม่มีข้อสงสัยเลยนะครับนี่
ผมก็ได้แต่ยิ้มๆขำๆไป
พอจบบทสนทนา ( 30 นาทีในการตรวจ)
เข้าไปในตู้เพื่อถ่ายใบหน้า และแสกนลายนิ้วมือครับ
และเขาก็จะบันทึกข้อมูลของเราเพื่อให้การเข้าประเทศครั้งหน้าจะมีมาร์คไว้ที่รายละเอียดในคอมเขา
เราก็จะไม่โดนเรียกตรวจสอบแบบนี้อีก ถือว่าเป็นการทำให้เกิดการอายน้อยลงตอนต่อคิวด้วย หุหุ

ด้านล่างนี้ผมก็จะลงตัวอย่างเอกสารที่ผมพกไปนะครับ
ปล.เอกสารทุกฉบับตอนพกไปต้องเป็นตัวจริงไม่ใช่สำเนาครับ
ตราประทับทุกใบต้องเป็นแบบน้ำหมึกไม่ใช่ตราปริ้นท์ ถือว่าใช้ไม่ได้นะครับ
เอกสารทุกใบแน่นอนครับว่าต้องเป็นภาษาอังกฤษ 
(การพกพาแบนี้ทำให้เยินครับ 555 เอกสารทุกใบจะถูกใช้งานอยุ่ตลอดเวลาในประเทศต่างๆ)
ขณะเดินทางอยู่ภายในประเทศเช่นเชคอินโรงแรมยังต้องใช้เลยครับ

ผมขอเซนเซอร์รายละเอียดสำคัญๆส่วนตัวต่างๆนะครับ
เช่นวันเดือนปีเกิด รหัสผู้ป่วย ชื่อนามสกุล เพื่อป้องกันคนค้นข้อมูลจากรพ.ครับ
และก็ผมขอพิมพ์ลายน้ำไว้ทับกระดาษเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกนำไปใช้ในที่อื่นอย่างที่ผ่านมาครับ

ใครที่เอาไปโพสต์ตามเว็บบอร์ดหรืออะไรก็จะได้ไม่เข้าใจผิดแบบที่ผ่านๆมาอีก




ว่าด้วยเรื่องฮอร์โมนและการตรวจเลือด

และด้านล่างนี้คือเอกสารสำหรับการตรวจเลือดของผู้ที่อยู่ในขั้นตอนของการใช้ฮอร์โมนนะครับ
ซึ่งผมได้กล่าวไว้ในหน้าก่อนๆแล้วว่าเหตุผลอะไรที่ผมไม่อยากให้ใช้ยากันเองนอกรพ.
ต่อให้คุณจะย้ำว่ามีคนฉีดให้ มีพยาบาลฉีดให้ ผมไม่ได้กังวลเรื่องนั้นหรอกครับ
แต่ที่สำคัญคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและให้ผลกระทบภายในร่างกายของพวกคุณต่างหาก
รวมถึงโรคต่างๆที่ค่อยๆแทรกเข้ามาโดยที่คุณไม่รู้ตัวจนกว่ามันจะแสดงออกมาภายนอก
และส่วนมากพอถึงจุดนั้นก็คือจุดที่สายเกินแก้ครับ

นี่คือตัวอย่างของใบตรวจเลือดของผม
จากปกติก่อนหน้านี้ผมมีภาวะทุกอย่างสมบูรณ์และผมเองก็ไม่ใช่คนที่กินหวานหนักถึงขั้นจะเป็นเบาหวาน
และผมเองน้ำหนักแค่ 48  ครับก็ไม่คิดว่าตัวเองอ้วนเกินไปถึงขั้นไขมันสูงและน้ำตาลในเลือดสูง
รวมทั้งความดันที่สูงปรี๊ดตามมาเป็นระยะ
แต่ผลกลับกลายเป็นเช่นนั้นครับ
(ระยะแรกตรวจเลือดทุกๆ 1-2 และ 3 เดือนครับ หลังๆตรวจทุกๆ 6 เดือน)
ภาวะของผมก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆครับตอนนี้เริ่มมีภาวะของกระดูกแทรกเข้ามา _”_
ค่าน้ำตาลในเลือดก็สูงปรี๊ดจนหมอบอกว่าเข้าข่ายการเป็นเบาหวานซะแล้ว
ความดันก็ขึ้นดิ่งสูงทั้งที่แอลกอฮอล์ไม่แตะบุหรี่ไม่สูบ นี่ขนาดตรวจหลังรับยา 14 วันนะครับ
ถ้าตรวจในระยะ 7 วันแรกที่ยาเข้าสู่ร่างกายแปลว่าสูงมากกว่านี้เยอะมาก
นั่นคือจุดอันตรายครับการที่ความดันสูงโดยไม่รู้ตัวแบบนี้เสี่ยงต่อเส้นเลือดฝอยในสมองแตกมาก
เพราะฉะนั้นต่อให้คุณใช้ยากันเองแต่บอกว่าตรวจเลือดที่อื่นเอาก็ได้
ผมขอถามหน่อยครับว่ามีคุณหมอท่านไหนยอมนั่งอ่านค่าเลือดให้คุณ
เพราะแต่ละ รพ. หน่วยค่าการตรวจเลือดต่างกันนะครับ หมอจะเป็นคนอ่านค่าเลือดให้กับเรา
รวมถึงนั่งคุยกับเราในเรื่องแนวโน้มของความเสี่ยงว่าเรากำลังจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ซึ่งถ้าเราไม่ใช่คนไข้ในของหมอแล้ว เขาจะไม่สามารถรู้และแพลนอะไรให้เราได้เลย
เพราะหมอไม่สามารถรู้ได้ว่าเราซื่อตรงต่อการใช้ยาแค่ไหน?
ฉีดมากหรือน้อยเกินไปหรือเปล่า? ถูกไหมครับ เพราะง้นการที่เราเว้นระยะการใช้ยาต่างกัน
หมอก็ไม่สามารถกำหนดปริมาณที่เหมาะและควรให้กับเราได้
นั่นเท่ากับว่า  “คุณเอาตัวเองไปเสี่ยงกับยาที่คุณรู้อยู่แล้วว่ามีผลกระทบด้วยตัวคุณเอง”
แต่ด้วยที่คุณไม่สามารถรับรู้ว่าภายในร่างกายคุณเกิดโรคอะไรขึ้นแล้วบ้างนั่นคือข้ออันตรายครับ

หรือจะสรุปโดยรวมคือยาทุกตัวมีผลกระทบครับ
แต่เราเองกลับไม่รู้วิธีใช้ และการรักษาหรือป้องกันให้เหมาะสม
ก็คือตัวเราและร่างกายเราเองที่ “อยู่ในอันตราย”

เพราะถ้าคุณจะเชื่อขนาดที่ควรใช้ยาข้างขวดของยาละก็บอกเลยครับว่าคุณคิดผิด!
ร่างกายของเราทุกคนมีการดูดซึมที่มากและน้อยต่างกันมากๆครับ
ถ้าใครดูดซึมใช้งานน้อยแต่ฉีดถี่เท่าคนอื่นเขา เท่ากับคุณมียาตกค้างในร่างกายจำนวนมากเกินใช้งาน
แต่หากคุณฉีดน้อยไปการทำงานของร่างกายคุณก็จะอยุ่ตกในภาวะขาดฮอร์โมน
และยิ่งถ้าคุณยังไม่ได้ผ่าตัดรังไข่และมดลูก รังไข่คุณก็จะทำงานแบบทำๆหยุดๆ
ทำให้เลือดที่ควรจะถูกขับออกมากลับคั่งอยู่ภายในท้องน้อยของคุณ
คุณก็จะเกิดภาวะผนังช่องคลอดหนา และสิ่งที่ตามมาคือ ช๊อคโกแล๊ตซี๊ดหรือมะเร็ง
ถ้าคุณจะตอบผมว่า “ยังไงก็แพลนจะผ่าตัดอยู่แล้วไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวก็เอาออก”
คุณเข้าใจผิดอยู่อย่างนึงนะครับว่ามันเหมือนกัน “อวัยวะที่ผ่าตัดออกในขณะที่ปกติ”
กับ “อวัยวะที่ผ่าตัดออกเพราะเกิดปันหาพวกเนื้องอกและมะเร็ง” มันต่างกันครับ
การผ่าตัดหากคุณอยู่ในภาวะมะเร็งแล้วตัวรากจะยังอยู่แปลว่าหมอจำเป็นต้องตัดบริเวณโดยรอบออก
ซึ่งเป็นบริเวณที่อาจเกิดการลามไปแล้วไงครับ แถมคุณยังต้องตรวจเป็นระยะถี่ๆกว่าผู้ที่ผ่าออกในขณะที่ปกติด้วย








ปล.ฮอร์โมนสังเคราะห์คือสเตียรอยด์และที่สำคัญเป็นตัวเร่งมะเร็งมากกว่าคนปกติถึง 200+ นะครับ
ปล.การซื้อฮอร์โมนใช้เองอันตรายเพราะคุณไม่รู้ว่าที่คุณใช้อยู่คือฮอร์โมนผสมอะไรบ้างยี่ห้อนั้นแท้หรือเปล่า
ปล. ฮอร์โมนบางชนิดเอาไว้ฉีดไก่ชนครับ คุณไม่ใช่ไก่
ที่ผมพูดเช่นนี้เพราะมีบางคนที่เข้ามาคุยกับผมพร้อมรูปภาพยาต่างๆที่เขาใช้
ถึงกับตกใจเพราะยาพวกนั้นที่เอามาขายในเน็ตให้คุณฉีดกันเนี่ย
คุณสามารถหาซื้อที่ร้านขายอาหารสัตว์ได้เพื่อฉีดไก่ชนก่อนแข่งขัน 2 สัปดาห์ _”_

อย่าคิดว่าตัวเองเป็นไก่นะครับ ไก่อายุมันสั้นกว่าคุณเยอะ _”_
รักสุขภาพอยากมีชีวิตให้ยืนยาวก็รักษาตัวเองกันให้ดีๆนะครับ
ตัดสินใจจะเดินทางสายนี้แล้ว หมอไม่ใช่ผู้ที่รับผิดชอบชีวิตเรา
ข้อความทางอินเตอร์เน็ตไม่ใช่ผู้ที่รับผิดชอบชีวิตเรา
ยาต่างๆล้วนมี่ผลทั้งนั้น เพียงแค่คุณดูแลระบบการใช้งานมันให้ดีๆแล้วกันครับ
แค่มนุษย์ปกติชีวิตก็สารพัดโรคแล้ว นี่เราไปเร่งโรคต่างๆอีกคงเข้าใจนะครับว่าต้องดูแลตัวเองมากกว่าคนปกติจริงๆ
อย่าตามแก้ในขณะที่เกิดสารพัดโรค

By: Nicky

6 comments:

  1. ขอบคุณมากๆครับ ผมกำลังจะไปรับฮอร์โมน ที่ รพ มหาราชเชียงใหม่ เหมือนกัน ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ถ้าเป็นสวนดอก คุณติดต่อแผนกไหนครับ
      รบกวนขอข้อมูลหลังไมค์หน่อย swlb.cheer@gmail.com
      อยู่เชียงใหม่เหมือนกัน เริ่มต้นไม่ถูกแผนกครับ ขอบคุณครับ

      Delete
    2. สนใจจะไปที่สวนดอกเหมือนกันคับ รบกวนขอข้อมูลหน่อยคับ line : nymphtz

      Delete
  2. ขอบคุณสำหรับข้อมุลนะครับรอมานานแล้ว .....อย่างที่เขาบอกนั่นแระ ถ้าประเทศเราให้เปลี่ยนคำนำหน้าได้ก็จะใช้ชีวิตง่ายขึ้น ...

    ReplyDelete
  3. ได้ความรู้เยอะเลย ขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆ ขอให้คนเขียนและคนที่กำลังฉีดอยู่สุขภาพแข็งแรงกันทุกคน

    ReplyDelete
  4. ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากๆครับ
    หาอ่านยากมาก มีประโยชน์สุดๆ ครับ :)

    ReplyDelete